วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557

พลับพลึง



ชื่อสามัญ     :        Crinum Lily
ชื่อวิทยาศาสตร์   :    Crinum asiaticun Linn.
ชื่อวงศ์    :         AMARYLLIDACEAE
ชื่ออื่นๆ      :          พลับพลึง, ลิลัว
ถิ่นกำเนิด     :         ทวีปเอเชีย
การขยายพันธุ์   :      แยกหน่อ

ประวัติและข้อมูลทั่วไป
            พลับพลึงนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ  ต้นที่มีขนาดใหญ่ใช้ในการแกะสลักเพื่อตกแต่งในงานพิธีต่างๆ



ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
            พลับพลึงเป็นไม้ล้มลุกหลายฤดู  มีลำต้นใต้ดิน  ส่วนเหนือดินประกอบด้วยกาบใบสีขาวหุ้มซ้อนกันเป็นชั้นๆ  ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงซ้อนเป็นวงกว้าง 7-15 ซม. ยาว 1 เมตรปลายใบแหลม  แผ่นใบอวบหนา  มีหน่อจำนวนมากขึ้นรวมกันเป็นกอ  ดอกเป็นช่อดอกขนาดใหญ่  สีขาวหรือม่วงแดง  ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง  มีดอกย่อยจำนวนมาก 10-30 ดอก ก้านช่อดอกอวบใหญ่ กลีบดอกตอนโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ยาว 7-10 ซม. ปลายแยกเป็น 6 กลีบแคบๆ กว้าง 1 ซม. ยาว 7 ซม.  ดอกทยอยบาน มีกลิ่นหอม พลับพลึง
ดอกสีแดงจะมีช่อดอกและดอกใหญ่กว่าพลับพลึงดอกสีขาว

การปลูกและดูแลรักษา
            พลับพลึงชอบขึ้นในดินที่ชื้นสามารถทนอยู่ในดินแฉะที่ไม่ค่อยระบายน้ำหรือในบริเวณที่แห้งแล้งในบางช่วงได้  นิยมปลูกกันตามร่องสวนในภาคกลางทั่วไป   เป็นพืชที่ทนทาน ไม่ต้องมีการบำรุงรักษามากนัก


ลิ้นมังกร


ชื่อสามัญ         :       Mather - in - law's Tongue
ชื่อวิทยาศาสตร์     :    Sancivieria.
ตระกูล        :         AGAVACEAE
ถิ่นกำเนิด    :          แถบทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ

ลักษณะทั่วไป
       ลิ้นมังกรเป็นพรรณไม้ ที่มีลำต้นเป็นหัว หรือเหง้าอยู่ในดิน ลักษณะลำต้นเป็นข้อ ๆ ใบเกิดจากหัวที่โผล่ออกมาพ้นดินเป็นกอ ลักษณะใบยาวปลายแหลม แข็งเป็นมัน ขอบใบเรียบ โค้งงอเล็กน้อย ขอบใบมีสีเหลืองกลางใบสีเขียวอ่อน ประด้วยเส้นสีเขียวเข้ม ขนาดของใบกว้างประมาณ 4-7 เซนติเมตร ยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร ก้านดอกประกอบด้วยกลุ่มดอกเป็นชั้น ๆ ลักษณะดอกมีขนาดเล็ก ออเรียงกันเป็นแนวตามชั้นของก้านดอกดอกมีสีขาวมีกลีบประมาณ 5 กลีบ ขนาดดอกบานเต็มที่ 2 เซนติเมตร ลักษณะขนาดใบ และสีสัน จะแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์

การปลูก มี 2 วิธี
1. การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน นิยมปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวนแต่คนโบราณนิยมปลูกเป็นแนวรั้วบ้าน ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน : อัตรา 1 : 1 ผสมดินปลูก
2. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายในและภายนอกอาคาร ควรใช้กระถางทรงสูง ขนาด 10-15 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 1 ผสมดินปลูก และควรเปลี่ยนกระถางทุก 1-2 ปี เพราะเนื่องจากการขยายตัวของรากและหน่อแน่นเกินไป และเพื่อเปลี่ยนดินปลูกใหม่แทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป





การดูแลรักษา
แสง                         ต้องการแสงแดดปานกลาง จนถึงแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง
น้ำ                           ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 5-7 วัน/ครั้ง
ดิน                           ดินร่วนซุย
ปุ๋ย                           ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/กอ ใส่ปีละ 4-5 ครั้ง
การขยายพันธุ์           แยกหน่อหรือตัดชำใบ
โรคและแมลง           ไม่ค่อยพบโรคและแมลงที่ก่อให้เกิดปัญหา


        ต้นลิ้นมังกรเป็นพืชที่คนไทยรู้จักกันดี มีปลูกกันทั่วไป สมัยก่อนคนจีนจะนิยมนำมาปักหรือปลูกในแจกัน เพราะอยู่ในที่ร่มในบ้านได้ดี อาจปลูกในแจกันโดยไม่ต้องใช้ดินก็ได้ ไม่มีโรคพืชหรือแมลงรบกวน ปลูกง่ายและทนทาน ดังนั้น ผู้ที่เริ่มต้นปลูกไม้ประดับในอาคารควรเริ่มจากลิ้นมังกรก่อน ปัจจุบันนี้ต้นลิ้นมังกรเป็นที่นิยมปลูกกันมากในต่างประเทศ ถ้าใครชอบดูหนังฝรั่งจะเห็นต้นลิ้นมังกรในหนังฝรั่งแทบทุกเรื่อง ลิ้นมังกรมีประมาณ 70 ชนิด แต่ลิ้นมังกรขอบใบเหลือง Sansevieria Trifasciata เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีสีสดใสและมีขอบใบเหลือง ทำให้ดูสวยงามกว่าพันธุ์อื่น

คริสต์มาส


คริสต์มาส


    
                                                                                            

      วงศ์ :  EUPHORBIACEAE                                                                                                                                                     
      ชื่ออื่น ๆ  : บานใบ (เหนือ) โพผัน สองระดู (กรุงเทพ)
     
    ลักษณะพืช ไม้พุ่มสูง 1-3 เมตร ใบคล้ายรูปไข่ปลายแหลม ขอบใบหยัก 2-3 หยัก ดอกสีเหลืองออกเป็นช่อที่ยอดโดยมีดอกเพศผู้ และ เพศเมียอยู่บนช่อเดียวกันและมีใบประดับสีแดงอยู่โดยรอบ ช่อเกสรตัวผู้มีจำนวนมากม ส่วนที่เป็นพิษ น้ำยางขาว ใบ ลำต้น  สารพิษและสารเคมีอื่นๆ resin การเกิดพิษน้ำยางเมื่อถูกผิวหนัง จะระคายเคืองมาก ถ้ารับประทานเข้าไปจะทำให้กระเพาะอักเสบได้  การรักษา ล้างน้ำยางออกจากผิวหนังโดยใช้สบู่ และน้ำอาจให้ยาทา สเตียรอยด์ ถ้ารับประทานเข้าไปให้เอาส่วนที่ไม่ถูกดูดซึมออกใช้ activated charcoal ล้างท้อง หรือทำให้อาเจียร และรักษาตามอาการ

ความเป็นมาของต้นคริสต์มาส (POINSETTIA)
         ในฤดูกาลแห่งความเหน็บหนาว วันประสูติแห่งพระเยซูเจ้ามาถึงแล้ว สาวกและผู้คนทั้งหลายล้วนมอบของขวัญที่วิเศษที่สุดให้กับพระเยซู แต่ PEPITA เด็กหญิงชาวเม็กซิกันผู้ยากไร้หาได้มีของขวัญใดแม้เพียงสักชิ้นเดียวในมือ แต่ด้วยดวงใจที่เปี่ยมล้นด้วยศรัทธา แม้ของที่ด้อยราคา อาจจะมีค่าในสายตาพระเยซูเจ้าได้ เธอจึงก้มลงเก็บวัชพืชริมทางเพื่อนำไปมอบให้พระคริสต์ ด้วยศรัธาอันยิ่งใหญ่ของเธอ วัชพืชนั้นกลับงอกงาม กลายเป็นช่อดอกไม้สีแดงสดสวยงาม นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา
          จากตำนานนี้ วัชพืชที่กลายเป็นช่อดอกไม้สวยงามนั้น จึงได้ชื่อว่า Flores de Noche Buena หรือ Flowers of the Holy Night  ตามภาษาเม็กซิกันซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของต้นไม้ชนิดนี้ แต่คนไทยเรียกว่า ต้นคริสต์มาส เพราะต้นไม้ชนิดนี้จะสวยมากช่วงคริสต์มาส คือปลายเดือนธันวาคม เมื่อกลางคืนเริ่มนานกว่า 12 ชั่วโมง ใบเลี้ยงของต้น POINSETTIA จะเปลี่ยนเป็นสีแดง หลายคนเข้าใจว่าสีแดงที่เห็นนั้นคือดอก จึงเรียก ดอกคริสต์มาส
          การที่ Flowers of the Holy Night กลายมาเป็นต้น POINSETTIA ก็เพราะว่า เมื่อปี ค . ศ .1820  JOEL ROBERTS POINSETT เอกอัคราชฑูตสหรัฐฯ คนแรกประจำประเทศเม็กซิกัน ได้เดินทางท่องเที่ยวไปตามชนบทเพื่อมองหาไม้แปลกใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน แล้วพบพุ่มไม้สวยพุ่มหนึ่งมีสีแดงสดใสขึ้นอยู่บริเวณริมถนน จึงได้นำไม้นั้นกลับไปปลูกที่เรือนเพาะเลี้ยงต้นไม้ของเขาที่ South Carolina
          แม้ Roberts Poinsett จะมีบทบาทที่สำคัญในฐานะสมาชิกรัฐสภาและนักการฑูตที่สามารถ แต่เขากลับเป็นที่รู้จักและจดจำในฐานะของบุคคลที่นำ POINSETTIA เข้ามาให้เป็นที่รู้จักและเผยแพร่ในสหรัฐฯเป็นคนแรกมากกว่า และชื่อของต้นไม้นี้ก็ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เขานั่นเอง  ต่อมา Wilenow นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน พบว่า POINSETTIA ที่ขึ้นแทรกในเรือนเพาะเลี้ยงต้นไม้ของเขา มีสีสดใสชวนตะลึง เลยตั้งชื่อ POINSETTIA ทางพฤกษศาสตร์ ว่า Euphorbia pulcherrima แปลว่าสวยมาก    ส่วนชาว Aztecs ซึ่งเป็นชุมชนอารยธรรมโบราณเรียก POINSETTIA ว่าCuetlayochitl ในขณะที่ชาว Chile และ Peru เรียก POINSETTIA ว่า Crown of the Andes  การที่ต้นคริสมาสมีหลากหลายชื่อนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมที่เป็นสากลของต้นคริสมาสเป็นอย่างยิ่ง
         

         
           สำหรับประเทศไทยนั้น เริ่มนิยมใช้ต้นคริสต์มาสในการเป็นไม้ประดับเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว โดยมีแหล่งเพาะปลูกอยู่ในแถบ
ภาคอิสานและภาคเหนือ โดยเฉพาะที่อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย จากการที่ลมหนาวจะพัดเข้าทางภาคอีสานก่อนภาคเหนือ ทำให้
         POINSETTIA จากทางภาคอีสานจะสวยและสมบูรณ์ก่อนที่ปลูกในภาคเหนือและสามารถส่งมาขายช่วงก่อนคริสต์มาสและปีใหม่ได้ทัน
       POINSETTIA เป็นพรรณไม้ทีปลูกที่แสงแดดกึ่งรม ปลูกเป็นไม้ประดับได้ทั้งกลางแจ้งและปลูกเป็นไม้กระถางภายในอาคาร ปลูกได้ดีในดินร่วนซุย
       POINSETTIA มีมากกว่า 100 พันธุ์ที่แตกต่างกัน มีการเรียกชื่อที่หลากหลายออกไปอีกหลายชื่อเช่น Lobster Flower หรือ Flame Leaf   โดยในสหรัฐอเมริกานั้น แหล่งเพาะปลูกที่สำคัญคือ California และเป็นไม้ที่ได้รับความนิยมถึงขั้นจัดงานวัน National Poinsettia Day ขึ้นทุกปีเลยทีเดียว



เฟื่องฟ้า




ชื่อสามัญ :  Bougainvillea
ชื่อวิทยาศาสตร์  :  Bougainvillea spp.                                                                                                                      
ตระกูล   :  NYCTAGINACEAE                                                                                                                                   
ถิ่นกำเนิด  : บราซิล
     
  พันธุ์เฟื่องฟ้าที่ปลูกเป็นไม้มงคล
    1. พันธุ์เฟื่องฟ้าดอกสีแดง ได้แก่ แดงจินดา แดงรัตนา แดงบานเย็น  ตรุษจีนด่าง สาวิตรี กฤษณา
    2. พันธุ์เฟื่องฟ้า ดอสีขาว ได้แก่ ทัศมาลีดอกขาว ขาวน้ำผึ้ง สุมาลี สุวรรณี
    3. พันธุ์เฟื่องฟ้าดอสีชมพู ได้แก่ ชมพูจินดา ชมพูทิพย์ ชมพูนุช
    4. พันธุ์เฟื่องฟ้าดอกสีม่วง ได้แก่ ม่วงประเสริฐศรี พรสุมาลี ม่วงกฤษณา ทัศมาลี
    5. พันธุ์เฟื่องฟ้าดอกสีส้ม ได้แก่ สุมาลีสีทอง
    6. พันธุ์เฟื่องฟ้าดอกสีเหลือง ได้แก่ เหลืองอรทัย ลักษณะทั่วไปเฟื่องฟ้า
    

     
     เฟื่องฟ้าเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางประเภทเถาเลื้อย ลำต้นมีความยาวประมาณ 1-10 เมตร มีลำเถาแข็งแรงเลื้อยไปได้ไกล ผิวลำต้นสีเท่าหรือสีน้ำตาลลำต้นมีหนามคมแหลมยาวประมาณ0.51เซนติเมตรติดอยู่เป็นระยะๆลักษณะของทรงพุ่มสามารถตัดแต่ง และบังคับทิศทางการเจริญเติบโตได้ใบเป็นใบเดี่ยวแตกตามเถาลักษณะรูปใข่ปลายใบแหลมโคนใบมนขอบใบเรียบพื้นใบ
    เรียบสีเขียว ขนาดใบกว้าง 2 - 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4-5 เซนติเมคร ดอกออกเป็นช่อตามส่วนยอด มีกลีบดอกหรือใบประดับ 3 กลีบ ส่วนดอกจะมีดอกเล็กสีขาว กลีบดอกจะมีขนาดและสีสรรแตกต่างกันตามชนิดพันธุ์

       การเป็นมงคลเฟื่องฟ้า คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นเฟื่องฟ้าไว้ประจำบ้าน สามารถสร้างคุณค่าของชีวิตให้สูงขึ้น เพราะเฟื่องฟ้าเป้นพรรณไม้ ที่ได้รับสมญานามว่าเป็นราชินีแห่งไม้ประดับเนื่องจากสามารถนำเฟื่องฟ้าไปใช้ประโยชน์ในด้านสุนทรียภาพเพื่อประดับสวนอาคาร    บ้านเรือนและสถานที่สำคัญต่างๆนอกจากนี้คนไทยโบราณยังมีความเชื่ออีกว่าเฟื่องฟ้าเป็นไม้มงคลทำสำคัญของเทศกาลตรุษจีน เพราะต้นเฟื่องฟ้าสามารถออกดอกสะพรั่งในช่วงเทศกาลตรุษจีนจึงทำให้บางคนเรียกต้นเฟื่องว่าว่าต้นตรุษจีนดังนั้นบางคนเชื่อว่า เมื่อช่วงดอกเฟื่องฟ้าบานแสดงถึง ความเบิกบาน สว่างไสว ความรุ่งเรือง ที่ก้าวไกลแห่งชีวิต ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูกเฟื่องฟ้า เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นเฟื่องฟ้า ไว้ทางทิศตะวันออก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทั่วไปทางด้าน ให้ปลูกในวันพุธ และถ้าจะให้เป็นสิริมงคลยิ่งขึ้น ผู้ปลูกควรเป็นสตรี เพราะเฟื่องฟ้าเป็นราชินีแห่งไม้ประดับ ดังนั้นชื่อจึงเหมาะสมอย่างยิ่งกับสุภาพสตรี
   


    การปลูกเฟื่องฟ้า การปลูกมี 2 วิธี
       1. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคารบ้านเรือน ใช้กระถางทรงสูงขนาด 10 - 16 นิ้ว ใช้ปุ๋ยหรือปุ๋ยหมัก : แกลบผุ :    ขุยมะพร้าว : ดินร่วน อัตราอย่างละ 1 ส่วน ผสมดินปลูก ควรเปลี่ยนกระถางปีละครั้ง หรือแล้วแต่ความเหมาะสมของทรงพุ่ม    เพราะการเจริญเติบโตของทรงพุ่มโตขึ้น และเพื่อเปลี่ยนดินปลูกใหม่ ทดแทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป
      2.การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวนโบราณนิยมปลูกไว้เป็นรั้วบ้านมักทำเป็นซุ้มหรือร้านโดยให้ต้นเฟื่องฟ้า  เลื้อยขึ้นไปตามธรรมชาติขนาดหลุมปลูก30x30x30เซนติเมตรใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก:ดินร่วนอัตรา1:2ผสมดินปลูกการปลูกเฟื่อ ฟ้าทั้งสองวิธีเราสามารถที่จะทำการตัดแต่งทรงพุ่มให้ได้รูปทรงที่เหมาะสมตามความต้องการไม่ให้ลำต้นเลื้อยก็ต้องทำการตัดแต่ทรงพุ่มเช่นกัน
     
  การดูแลรักษาเฟื่องฟ้า
     แสง   :     ชอบแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง
     น้ำ    :      ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 3 - 5 วัน/ครั้ง
     ดิน    :      ดินร่วนซุย ความชุ่มชื้นสม่ำเสมอ
     ปุ๋ย    :       ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ใส่ปีละ 4-6 ครั้งหรือใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์  สูตร 15-15-15 อัตรา200-300 กรัม/ต้น ใส่ปีละ 4-6 ครั้ง

 

การขยายพันธ์          ปักชำ ตอน การเสียบยอด
โรคและแมลง           ไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องโรค ส่วนแมลงนั้นจะมีเพลี้ยรบกวนบ้างในบางครั้ง
                                 แต่ควรระวังอย่าให้น้ำขังแฉะเพราะจะทำให้รากเน่า
การป้องกันกำจัด     ใช้ยาฉีดพ่นโดยใช้ ไดอาชินอน ตามที่ระบุไว้ในฉลา


ทานตะวัน

      
        ทานตะวัน   เป็นพืชฤดูเดียวมีระบบรากแก้วลึก ส่วนรากแขนงจะเจริญอยู่ในระดับ 30 เซนติเมตรจากผิวดิน มีลำต้นทรงสูง ใบใหญ่ เกิดสลับกันบนลำต้น มีการแตกแขนงของลำต้น สามารถให้ดอกได้  บ้านอะลาง  ทานตะวันแต่เดิมเป็นพันธุ์ที่ใช้ปลูกต้องอาศัยแมลงช่วยผสมเกสร จึงทำให้ติดเมล็ดยาก ปัจจุบันมีพันธุ์ลูกผสม (แปซิฟิค 33, 44, 55, 29 และ77)  เป็นพันธุ์ที่ติดเมล็ดได้ดี  ไม่ต้องอาศัยแมลงช่วยผสมเกสร ทานตะวันเป็นพืชที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพของเขตร้อนได้ดี  และทนต่อสภาพแห้งแล้งและร้อนได้เป็นอย่างลักษณะพันธุ์ของทานตะวันลูกผสม มีอัตราการงอกสูงกว่า 80% เป็นทานตะวันพันธุ์ลูกผสม เก็บเกี่ยวได้ภายใน 95-120 วัน ให้ผลผลิต 250-400 กิโลกรัม/ไร่ เส้นผ่าศูนย์กลางจานดอก 16-20 เซนติเมตร สามารถทนต่อความแห้งแล้งได้ดีเยี่ยม  เพราะมีระบบรากลึกกว่า 3 เมตร (คุณสมบัติดังกล่าว ขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์)  บ้านอะลาง

ฤดูปลูก
      การปลูกทานตะวันควรปลูกปลายฤดูฝน ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ด้วย  คือ ในพื้นที่ที่เป็นดินร่วนเหนียวสีดำ  ควรปลูกระหว่างเดือน กันยายน-พฤศจิกายน  และในพื้นที่ที่เป็นดินร่วนหรือดินร่วนทราย  ควรปลูกระหว่างเดือน ปลายสิงหาคมตุลาคม ในกรณีพื้นที่ที่สามารถให้น้ำได้ สามารถปลูกในฤดูแล้งได้อีกครั้งหนึ่ง โดยปลูกระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์






 การเตรียมดิน
       การเตรียมดินมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้ผิวดินร่วนซุย  อากาศถ่ายเทได้สะดวก  และสามารถเก็บรักษาความชื้นได้ดีรวมทั้งเป็นการกำจัดวัชพืชในขั้นต้นอีกด้วย การไถเตรียมดิน  ควรทำเมื่อดินมีความชื้นเพียงพอ  ก่อนไถควรดายหญ้าให้เตียน หว่านปุ๋ยคอกอัตรา 1.5 กิโลกรัม/ไร่ แล้วทำการไถดะให้ลึกที่สุด หลังจากนั้นจึงทำการไถแปรให้พื้นที่เรียบสม่ำเสมอตลอดแปลง  ถ้าแปลงเป็นที่ลุ่มน้ำขังควรทำร่องระบายน้ำรอบแปลง

วิธีการปลูก
       การปลูกทานตะวันให้ได้ผลดี  ควรใช้เมล็ดพันธุ์ที่ดี และมีเปอร์เซ็นต์ความงอกสูง เพื่อให้ได้ต้นทานตะวันที่แข็งแรงสมบูรณ์และมีจำนวนต้นต่อไร่ที่เหมาะสม โดยปลูกทานตะวันขณะที่มีความชื้นในดินพอดี หยอดเมล็ดพันธุ์หลุมละ 2-3 เมล็ด  ระยะระหว่างหลุม40 เซนติเมตร  ระยะระหว่างร่องหรือแถว75 เซนติเมตร  กลบดินหนาประมาณ 3-5 เซนติเมตร ให้แน่นพอสมควร  หลังจากปลูกได้แล้ว 5-10 วัน  ให้ตรวจดูความงอก  จำนวนต้นต่อไร่  รวมทั้งการปลูกซ่อม หลังจากนั้น 5-8 วัน  ทำการถอนแยกให้เหลือ 1 ต้น/หลุม โดยเลือกถอนต้นที่มีขนาดเล็กหรือผิดปกติกว่าต้นอื่น การปลูกในระยะดังกล่าว จะใช้เมล็ดพันธุ์ทานตะวันเพียง 0.8 กิโลกรัม/ไร่  และจะได้ต้นทานตะวันประมาณ 6,400-8,500  ต้น/ไร่
การใส่ปุ๋ย
      ก่อนหยอดเมล็ดควรใส่ปุ๋ยรองพื้นสูตร 16-20-0 หรือ 25-7-7 อัตรา 20-25 กิโลกรัม/ไร่ อาจจะใช้ผงบอแร็กซ์ หรือโบรอน (B) อัตรา 2 กิโลกรัม/ไร่ ในพื้นที่ที่เป็นดินร่วนทรายโดยหว่านให้ทั่วแปลงหรือผสมพร้อมปุ๋ยรองพื้น  เมื่อทานตะวันอายุ 25-30 วัน  ให้ทำรุ่นพูนโคนและกำจัดวัชพืชพร้อมทั้งใส่ปุ๋ยยูเรีย 46-0-0  อัตรา 15-20  กิโลกรัม/ไร่  ห่างจากโคนต้น 20 เซนติเมตร (ระวังอย่าให้สัมผัสโดนใบ) เสร็จแล้วกลบปุ๋ยพูนโคนตามแถว
  
การกำจัดวัชพืช
       ให้ใช้ยาคุมหญ้าประเภทอลาคลอร์  เมตลาคลอร์  อัตรา  300-400 ซีซี./ไร่  หรือ  7-8  ช้อนแกงต่อน้ำ 18-20 ลิตร  (ในกรณีใช้ถังโยกหรือมือฉีด) ฉีดพ่นหลังหยอดเมล็ดก่อนที่เมล็ดจะงอกหรือใช้แรงงานจากเครื่องจักร หรือคนทำรุ่นตามความจำเป็น   ข้อควรระวัง  ห้ามใช้ยาอาทราซีน.กับทานตะวันโดยเด็ดขาด



การเก็บเกี่ยว
     เมื่อทานตะวันมีอายุได้  95-120  วัน  จานดอกจะเริ่มเปลี่ยนสีเหลืองเป็นสีน้ำตาล  ให้เก็บเกี่ยวและตากแดดให้แห้ง 1-2 แดดก่อน แล้วจึงนวดโดยใช้เครื่องนวดถั่วเหลืองหรือถั่วลิสง หรือใช้เครื่องสีข้าวฟ่างก็ได้แล้วแต่ความสะดวก ควรทำความสะอาดเมล็ดให้ดีและเก็บไว้ในยุ้งฉางที่ป้องกันแดด กันฝน  และแมลงศัตรูได้  ความชื้นของเมล็ดที่จะเก็บไว้ควรไม่เกิน 10%


วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

กุหลาบ


ชื่อวิทยาศาสตร์  :   Rosa hybrida
ชื่อวงศ์  :  ROSACEAE
ชื่อสามัญ  :  Rose
ชื่ออื่นๆ   :   กุหลาบ
ถิ่นกำเนิด  :  ทวีปเอเซีย
การขยายพันธุ์   :  เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง, ปักชำกิ่งและราก, ติดตา, ต่อกิ่ง, เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ


ประวัติและข้อมูลทั่วไป
           กุหลาบนับว่าเป็นไม้ดอกที่มีความงามยากที่ไม้ดอกอื่นจะเทียบเท่า จนได้รับชื่อว่าเป็น
"ราชินีแห่งดอกไม้" (Queen of flower)  กุหลาบมีมานานประมาณ 30 ล้านปีมาแล้ว มีทั้งหมดประมาณ
200 สปีชี่ส์ พันธุ์ดั้งเดิม(wild species) มีทั้งชนิดกลีบดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน
         ส่วนกุหลาบที่ปลูกกันอยู่ทั่วไปในปัจจุบันเป็นกุหลาบที่ผ่านการวิวัฒนาการมานานนับร้อยๆ ปี
และทั้งหมดเป็นกุหลาบลูกผสมซึ่งได้จากการผสมพันธุ์ระหว่างกุหลาบ 1-8 สปีชี่ส์ และส่วนมากมี
ถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย


ลักษณะทั่วไป
               เป็นไม้ดอกประเภทพุ่ม ผลัดใบ เหมาะกับการปลูกในพื้นที่ที่ได้รับแสงแดดไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน ดินเป็นกรดเล็กน้อย pHของดินอยู่ระหว่าง 5.5 6.5 อุณหภูมิกลางคืน 15-18 องศาเซลเซียส กลางวัน 20-25 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ร้อยละ 70-80





   
พันธุ์ดอกกุหลาบที่นิยมปลูก

-พันธุ์ดอกสีแดง ได้แก่ คริสเตียนดิ
-พันธุ์ดอกสีขาว ได้แก่ มิสตี้เมอร์ ออร์ สวาทมอร์ สคาร์เลทไนท์
-พันธุ์ดอกสีเหลือง ได้แก่ คิงส์แรนซัม โกลเด้นมาสเตอพิส  โบเต้
-พันธุ์ดอกสีชมพู ได้แก่ เบลแองจ์ ควีนอลิซาเบท  มีสออลอเมริกันบิวตี้
-พันธุ์ดอกสีแสด ได้แก่ ซุปเปอร์สตาร์ ธัญญา โบเต้
-พันธุ์ดอกสีม่วง ได้แก่ บูลมูน




การปลูกและการดูแลรักษา

        กุหลาบควรปลูกในฤดูฝนและฤดูหนาวเพราะเป็นช่วงของการเจริญเติบโตของกุหลาบ ช่วงที่ดีที่สุดคือช่วงเดือนมิถุนายน เนื่องจากกุหลาบจะมีช่วงการเจริญเติบโตติดต่อกันเป็นระยะเวลานานมากกว่า 6 เดือน ซึ่งจะทำให้ได้ต้นกุหลาบที่เติบโตเต็มที่ ดอกมีคุณภาพ กุหลาบเป็นไม้ดอกที่ต้องการแสงแดดจัดอย่างน้อยวันละ 6 ชม.ดังนั้นควรปลูกในที่โล่งแจ้งและอับลม หรือปลูกทางด้านทิศตะวันออกให้กุหลาบได้รับแสงในตอนเช้า ดินมีการระบายน้ำดี วิธีทดสอบง่ายๆ คือขุดดินที่จะปลูกเป็นหลุมลึกประมาณ 50 ซม.แล้วใส่น้ำให้เต็มทิ้งไว้ 2 ชม.ถ้าหากน้ำซึมหายไปหมดจากหลุมแสดงว่าที่นั้นๆ ใช้ปลูกกุหลาบได้ ดินปลูกควรมีค่า pH ประมาณ 5.5-6.5 คือเป็นกรดเล็กน้อยและมีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอ เวลาที่เหมาะสมในการรดน้ำกุหลาบคือ เวลาเช้าระหว่างที่แสงอาทิตย์ยังอ่อนอยู่ กุหลาบเป็นพืชที่ชอบน้ำ แต่ถ้ารดมากจนน้ำขังก็ไม่ดี ควรหลีกเลี่ยงการรดให้เปียกทั้งต้นและดอก เพราะจะเป็นการช่วยให้เกิดและแพร่โรคได้ง่ายและเร็วขึ้น ถ้ารดจนโชกก็ไม่จำเป็นต้องรดทุกวันก็ได้ กุหลาบต้องการความชื้นและอากาศในดิน ดังนั้นจึงควรทำการคลุมดินโดยใช้ หญ้าแห้ง ฟาง เปลือกถั่วลิสง ขุยมะพร้าว หรือแกลบดิบ มาคลุมดินรอบๆ ต้นกุหลาบหนาประมาณ 2-3 นิ้ว และถ้าเป็นไปได้ก่อนคลุมดินควรหาทางทำให้วัสดุคลุมดินเปียกชื้นก่อน มิเช่นนั้นต้องรดน้ำในระยะแรกๆ บ่อยแลหลายๆ ครั้ง










กุหลาบดอกไม้มงคล
         กุหลาบเป็นต้นไม้ที่ผู้คนทั่วไปต่างรู้จักดี เพราะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจาก
ความงดงามของดอกกุหลาบนั้น ดึงดูดใจและยังมีกลิ่นหอมจับใจอีกด้วย   กุหลาบเป็นต้นไม้
ที่มีดอกหลายสีทั้งสีแดง สีขาว สีเหลือง สีชมพู สีแสด และสีม่วง  ดอกกุหลาบได้รับการขนานนาม
ให้เป็นราชินีแห่งดอกไม้เพราะมีรูปลักษณ์และสีสันที่สวยงามจับตาของผู้พบเห็น คนโบราณเชื่อว่า
หากครอบครัวใดปลูกกุหลาบเอาไว้ภายในบริเวณบ้าน ก็จะช่วยเพิ่มความสง่างาม และโรแมนติก
ให้แก่บรรยากาศบ้านได้เป็นอย่างดีเพราะดอกกุหลาบที่ชูช่อบานนั้น จะสวยงามโดดเด่นจนใครๆ
ต่างก็ชื่นชม    ยังเชื่อกันอีกว่าหากปลูกต้นกุหลาบ สมาชิกทุกคนภายในบ้านก็จะมีโชคลาภ
มีชีวิตที่ดี มีความฉลาดปราดเปรื่อง มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น